"ฉันลืมตามาป่าก็อยู่ตรงนั้น น้ำนมหยดแรกที่ฉันดื่มก็อยู่ตรงนั้น"
ปู่คออี้
ผู้เฒ่าชาวไทยเชื้อสายกะเหรี่ยงแห่งป่าแก่งกระจาน

จากปู่โคอี้

นายคออี้ หรือโคดี้ มีมิ หรือที่คุ้นเคยในชื่อเรียก “ปู่คออี้” ผู้ที่ถือเป็นผู้นําทางจิตวิญญาณ และสัญลักษณ์แห่งการต่อสู้เพื่อสิทธิชุมชน และวิถีชีวิตของชาติพันธุ์กะเหรี่ยงแห่งบางกลอย-ใจแผ่นดิน

ปู่คออี้เกิดเมื่อ พ.ศ. 2454 บริเวณต้นน้ำภาชี ตําบลยางน้ำกลัดเหนือ อําเภอหนองหญ้าปล้อง จังหวัดเพชรบุรี (เรียกบริเวณนั้นว่าบ้านใจแผ่นดิน) ปัจจุบันอายุ 107 ปี เป็นชาติพันธุ์กะเหรี่ยงดั้งเดิม เป็นบุตรของนายมิมิ และนางพินอดี ชาติพันธุ์กะเหรี่ยง มีพี่น้องอีกจํานวน 5 คน (รวมปู่คออี้ เป็น 6 คน)

ครอบครัวของปู่คออี้ เดินเท้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่บ้านบางกลอยบน บริเวณใจแผ่นดิน ปู่คออี้ดํารงชีวิตโดยการทําไร่หมุนเวียน ปลูกข้าว ต้นหมาก พริก ฟักแฟง แตงเปรี้ยว ฟักทอง พืชสวนครัว ฯลฯ

ปู่คออี้แม้จะเกิดในบริเวณที่ถือเป็นผืนแผ่นดินไทยปัจจุบัน แต่ยังไม่ได้ถูกรับรองทางทะเบียนราษฎรว่าเป็นผู้มีสัญชาติไทย เพราะเกิดก่อนที่พระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2456 และพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2499 จะใช้บังคับ อีกทั้งที่อยู่ดั้งเดิมตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกลทําให้ตกหล่นการสํารวจ และบันทึกรายการตัวบุคคล

ปี พ.ศ. 2512-2513 ทางราชการได้มีการสํารวจการตั้งรกรากถิ่นฐานของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง ที่บ้านบางกลอยบน ในครั้งนั้นนายอําเภอท่ายางได้แจกเหรียญให้แก่ชาวบ้านไว้เป็นที่ระลึก เป็นเหรียญเงินที่มีลักษณะด้านหน้าเป็นพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 และด้านหลังเป็นอักษรย่อจังหวัด พช. ระบุตัวเลขไทย ปู่คออี้ก็ได้รับเหรียญดังกล่าวด้วย

ต่อมาเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2531 ศูนย์พัฒนา และสงเคราะห์ชาวเขาจังหวัดกาญจนบุรีได้เดินเท้า สํารวจประชากรชาวเขา ณ พื้นที่บริเวณบ้านใจแผ่นดิน บ้านบางกลอยบน ปู่คออี้ ได้รับการสํารวจ และบันทึกตัวบุคคลในทะเบียนสํารวจบัญชีบุคคลชาวเขา (ท.ร.ช.ข.) โดยเอกสารดังกล่าว เป็นหลักฐานยืนยันว่าปู่คออี้ เกิดที่จังหวัดเพชรบุรี อย่างไรก็ดีปัจจุบันปู่คออี้ ยังคงถือบัตร ประจําตัวบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียนที่ขึ้นต้นด้วยเลข 0 (0-7608-xxxxx-xx-x)

วิถีชีวิต และไร่หมุนเวียน

กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงดํารงชีวิตตามวิถีดั้งเดิมโดยทําการเพาะปลูกในลักษณะแบบ “ไร่หมุนเวียน” ซึ่งถือเป็นจิตวิญญาณของชาวกะเหรี่ยงที่ปฏิบัติสืบทอดมาแต่ครั้งบรรพบุรุษมาหลายชั่วอายุคน

ไร่หมุนเวียนถือเป็นแกนหลักต่อการดํารงชีวิต วัฒนธรรม และอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ (Ethnic Identity) ของกะเหรี่ยง ในขณะเดียวกันก็มีคุณูปการต่อระบบนิเวศ ความหลากหลายทางชีวภาพ ความอุดมสมบูรณ์ของหน้าดิน ภาวะไร้สารพิษทางการเกษตร และการบรรเทาภาวะโลกร้อน

โดยชาวกะเหรี่ยงจะปลูกข้าวไร่ และพืชสวนครัวไว้ในที่ดินแปลงเดียวกัน แต่จะปลูกข้าวไร่ และพริกเป็นหลักเพื่อเก็บบริโภคในครอบครัว ระบบเกษตรแบบ “ไร่หมุนเวียน” เป็นระบบเกษตรวัฒนธรรมที่ผสมระหว่างเกษตรและป่าไม้ โดยมีพลวัตของการจัดการและปรับตัวอย่างต่อเนื่องกับเงื่อนไขของระบบนิเวศ

โดยการเปลี่ยนพื้นที่ไร่ซาก (ไร่แปลงเก่าที่หมุนเวียน) ให้เป็นพื้นที่ไร่ด้วยการตัด ฟัน โค่น และเพาะปลูก และทิ้งพื้นที่ให้มีการพักฟื้นในระยะเวลาที่เหมาะสม เพื่อรักษาดุลยภาพของทรัพยากรดิน น้ำ และป่าเพื่อให้ทําเกษตรได้อย่างต่อเนื่อง และครบวงจร ทั้งนี้การทําไร่หมุนเวียนจะไม่ใช้วิธีการใส่ปุ๋ย แต่จะใช้วิธีการเผาเศษซากหญ้าเพื่อให้กลายเป็นปุ๋ย และจะไม่ใช้วิธีการไถ พรวน หรือเปิดหน้าดิน หน้าดินจึงไม่ถูกกัดเซาะพังทลาย

การทําไร่หมุนเวียนจะใช้ที่ดินสําหรับการเพาะปลูกประมาณ 4-5 แปลง จะหมุนเวียนเพาะปลูกประมาณ 1 ปีต่อ 1 แปลง เมื่อครบ 1 ปี ก็จะไปทําการเพาะปลูกในที่ดินแปลงถัดไปจนครบ 5 แปลง หรือจํานวนแปลงที่มี แล้วจึงกลับมาเริ่มต้นทําในแปลงแรกใหม่หมุนเวียนเป็นวงจร

แปลงแรก ๆ ก็ถูกพักฟื้นราว ๆ 4 ปี การเพาะปลูกซ้ำในพื้นที่เดิมในเวลาอันสั้น แต่ทิ้งให้ไร่พักฟื้นตัวในเวลายาวนาน ทําให้ที่ดินที่ไม่ได้ทําการเพาะปลูกได้รับการปรับสมดุลทางธรรมชาติ ทําให้ความอุดมสมบูรณ์และความหลากหลายทางชีวภาพจะกลับฟื้นคืนมา

ประกาศเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน

ปู่คออี้รวมถึงชาติพันธุ์กะเหรี่ยงจํานวนหนึ่ง ได้ตั้งรกรากถิ่นฐานบนพื้นที่สูงบริเวณลําห้วย เหนือแม่น้ำบางกลอย ที่ “บ้านบางกลอยบน ” ตําบลห้วยแม่เพรียง อําเภอแก่งกระจาน ” จังหวัดเพชรบุรี และที่ “บ้านใจแผ่นดิน” ตําบลยางน้ำกลัดเหนือ อําเภอหนองหญ้าปล้อง จังหวัดเพชรบุรีมาเป็นเวลานานกว่า 100 ปีนับแต่ครั้งบรรพบุรุษหลายชั่วอายุคน

จัดว่าเป็น “ปกาเกอะญอ” (จกอว์ หรือสกอว์) ประกอบอาชีพทํา “ไร่หมุนเวียน” และยังมีการปลูกต้นทุเรียนป่าโบราณ ต้นหมาก ซึ่งมีอายุกว่า 100 ปีในบริเวณดังกล่าวด้วย บ้านบางกลอยบนตั้งอยู่บริเวณแนวชายแดนไทย – พม่าอยู่เหนือแม่น้ำบางกลอยบน ซึ่งเป็นต้นน้ำของแม่น้ำเพชรบุรี

พื้นที่บริเวณแม่น้ำบางกลอยเป็นพื้นที่ที่มีลําห้วยมากมายนี้ มีความอุดมสมบูรณ์และมีความหลากหลายทางชีวภาพสูง จึงเป็นหมู่บ้านที่บรรพบุรุษของ ชาวกะเหรี่ยงแถบนี้เลือกที่จะตั้งรกรากถิ่นฐาน ผืนดินผืนป่าเหล่านี้ตกทอดมาสู่ลูกหลานในการ ทําอยู่ทํากินรุ่นต่อรุ่น จึงอาจเรียกได้ว่าเป็น “พื้นที่บรรพบุรุษ” ของชาวกะเหรี่ยงบางกลอยบน

บ้านใจแผ่นดินมีประชากรกะเหรี่ยงประมาณกว่า 100 คน หรือประมาณ 20 ครอบครัว ซึ่งชาวกะเหรี่ยงที่หมู่บ้านนี้ถูกไล่รื้อ และเผาทําลายบ้านใน “ยุทธการตะนาวศรี” เช่นเดียวกัน ชาวกะเหรี่ยงในหมู่บ้านดังกล่าวจึงจําเป็นต้องอพยพไปอาศัยอยู่ที่บ้านห้วยน้ำหนัก ตําบลตะนาวศรี อําเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี

พื้นที่บ้านบางกลอยบน บ้านใจแผ่นดิน ก่อนที่ทางการจะประกาศให้เป็น “อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ” อย่างเป็นทางการนั้น เดิมเป็นผืนป่าบริเวณนั้นเรียกว่า “ผืนป่าแก่งกระจาน” ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี เป็นผืนป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์ และมีความหลากหลายทางชีวภาพ นอกจากนี้ยังเป็นผืนป่าที่เป็นต้นน้ำลําธารที่สําคัญของแม่น้ำบางกลอย, แม่น้ำเพชรบุรี และแม่น้ำปราณบุรี โดยมีลําห้วยกว่า 100 ลําห้วย

ปี พ.ศ. 2523
กรมป่าไม้ (เดิม) ได้เสนอคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ และได้มีมติเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2523 เห็นสมควร ให้ออกพระราชกฤษฎีกากําหนดที่ดินบริเวณดังกล่าว ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ

ปี พ.ศ. 2524
ผืนป่าแก่งกระจานจึงได้รับการประกาศให้เป็น “อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน” อย่างเป็นทางการ เป็นอุทยานแห่งชาติลําดับที่ 28 ของประเทศไทย และเป็นอุทยานแห่งชาติที่มีพื้นที่มากที่สุดในประเทศไทย

วันที่ 20 เมษายน 2526 
ได้ทําพิธีเปิดอุทยานแห่งชาติอย่างเป็นทางการ กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงดั้งเดิมในผืนป่าแก่งกระจาน ไม่ทราบว่ามีการประกาศพื้นที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จึงไม่ได้ไปแจ้งขอกันพื้นที่

เจ้าหน้าที่เริ่มอพยพชาวกะเหรี่ยงออกจากพื้นที่ดั้งเดิม

ปี 2535
เริ่มมีการพยายามอพยพชาวกะเหรี่ยงจากบ้านบางกลอยบนใจแผ่นดิน ลงมาอยู่ข้างล่างบริเวณบ้านโป่งลึก ตําบลห้วยแม่เพรียง อําเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพรชบุรี ซึ่งหัวหน้าอุทยานในตอนนั้น (นายสามารถ ม่วงไหมทอง) ได้มีการเจรจาให้ชาวบ้านลงมาก่อน โดยกล่าวต่อหน้าชาวบ้านเป็นการตกลงทางวาจาว่าถ้าอยู่ไม่ได้ก็จะให้กลับไปอยู่ ที่เดิม และภายใน 3 ปีแรกจะดูแลเรื่องอาหารและที่ดินให้

ปี 2539
อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน หน่วยเฉพาะกิจ กรมทหารราบที่ 29 และจังหวัดเพชรบุรี ได้ร่วมกันจัดทําโครงการศึกษาเพื่อหาแนวทางแก้ไข ปัญหาการบุกรุกพื้นที่ป่าต้นน้ำลําธารอย่างถาวรของชาวไทยภูเขาในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน (โครงการย่อย) ตามโครงการดูแลรักษาป่าบริเวณ ป่าละอูบนและเขาพะเนินทุ่ง อันเนื่องมาจากพระราชดําริ (โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่) ได้ทําการอพยพกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงลงมา จํานวน 57 ครอบครัว ประมาณ 391 คน

โดยมีการแบ่งพื้นที่จาก บ้านโป่งลึกเดิมแล้วตั้งเป็นหมู่บ้านบางกลอย หมู่ 1 ตําบลห้วยแม่เพรียง อําเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรีให้ชาวบ้านที่อพยพ ลงมาได้อยู่อาศัย (การแบ่งพื้นที่มาจากชาวบ้านโป่งลึกทําให้เกิดความขัดแย้งกันระหว่าง ชาวบ้านที่อยู่เดิม และชาวบ้านที่อพยพลงมาใหม่พอสมควร)

โดยครั้งนั้นรัฐจัดสรรที่ดินให้ครอบครัวละประมาณ 7 ไร่ แต่มีบางครอบครัวที่ไม่ได้ (ประมาณ 7 ครอบครัว) ครอบครัวปู่คออี้ก็ถูกอพยพลงมาในช่วงดังกล่าวด้วย และไม่ได้รับการจัดสรรที่ดิน ไม่มีที่อาศัยเป็นของตนเอง จึงกลับขึ้นไปยังบ้านเดิมที่บางกลอยบน

นอกจากนี้ที่ดินส่วนใหญ่ที่ได้รับจัดสรร ไม่สามารถทําไร่หมุนเวียนปลูกข้าวไร่ ได้ตามวิถีเดิม เพราะที่ดินเป็นดินลูกรัง เพาะปลูกพืชไม่ได้ ปัจจุบันที่ดิน ได้รับการส่งเสริมให้ปลูกกล้วย

ปี 2545
มีการอพยพชาวบ้านลงมาอีกประมาณ 20 ครอบครัว ซึ่งผู้ที่ถูกอพยพลงมาชุดหลังนี้ไม่ได้รับจัดสรรที่ดิน ผลจากการประกาศเขตอุทยานฯ ทับชุมชนดั้งเดิม และการอพยพลงมาใน พื้นที่ใหม่ทําให้กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงบางส่วนไม่มีที่ดิน และบางส่วนแม้จะได้รับจัดสรรที่ดินแต่ก็เป็นพื้นที่ที่ไม่สามารถปลูกข้าวได้

ทําให้พวกเขาจําเป็นต้องเปลี่ยนวิถีชีวิต ทํางานอื่นเพื่อหาเงินมาซื้อข้าวมาบริโภค ซึ่งรัฐเองก็พยายามจะไม่ให้ชาวบ้านกลับขึ้นไปอยู่ที่เดิม จึงมีโครงการต่าง ๆ มากมายเข้าไปส่งเสริมอาชีพ และพัฒนาคุณภาพชีวิตในพื้นที่

อย่างไรก็ดีชาวบ้านบางส่วนได้อพยพกลับถิ่นฐานเดิมที่บางกลอยบน – ใจแผ่นดิน เพราะไม่สามารถทนอยู่ในสภาพดังกล่าวได้ และต้องการทําไร่หมุนเวียนตามวิถีเดิม

ยุทธการตะนาวศรี

“โครงการขยายผลการอพยพ ผลักดัน/จับกุมชนกลุ่มน้อยที่บุกรุกพื้นที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ตามแนวชายแดนไทย-พม่า” หรือมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ยุทธการตะนาวศรี” มีขึ้นเพื่อดําเนินการผลักดันและจับกุมชาวไทยเชื้อสายกะเหรี่ยงที่ตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนอยู่ บริเวณลําห้วยเหนือแม่น้ำบางกลอย ซึ่งอยู่ในเขตพื้นที่ (1) บ้านบางกลอยบน (2) บ้านใจแผ่นดิน ซึ่งโครงการมีการดําเนินการ 6 ครั้ง ดังนี้

ครั้งที่ 1: วันที่ 25-28 เมษายน 2553 ปฏิบัติการในพื้นที่บริเวณลําห้วยเหนือแม่น้ำ บางกลอย ที่ “บ้านบางกลอยบน และเหนือแม่น้ำภาษีที่ “บ้านใจแผ่นดิน” โดยเจ้าหน้าที่ได้ดําเนินการนํากําลังเข้าเจรา และผลักดัน โดยมีการสนธิกําลังของเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน เจ้าหน้าที่ทหาร ชุดปฏิบัติการเฉพาะกิจทัพพระยาเสือ

ครั้งที่ 2: วันที่ 19-23 สิงหาคม 2553 ปฏิบัติการเจรจาและผลักดันในพื้นที่บริเวณลําห้วย เหนือแม่น้ำบางกลอย “บ้านบางกลอยบน มีการประสานงานเพื่อขอรับการสนับสนุนอากาศยานบินตรวจสภาพป่ามีเจ้าหน้าที่ และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมปฏิบัติการ

ครั้งที่ 3: วันที่ 21-24 เมษายน 2554 ปฏิบัติการเจรจาและผลักดันในพื้นที่บริเวณลําห้วย เหนือแม่น้ำบางกลอย “บ้านบางกลอยบน มีการประสานงานเพื่อขอรับการสนับสนุนอากาศยานบินตรวจสภาพป่ามีเจ้าหน้าที่ และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมปฏิบัติการ

ครั้งที่ 4: วันที่ 5-9 พฤษภาคม 2554 ปฏิบัติการผลักดัน และเผาทําลายบ้าน และยุ้งฉางในพื้นที่บริเวณลําห้วยเหนือแม่น้ำบางกลอย
“บ้านบางกลอยบน” โดยดําเนินการปฏิบัติการ เข้าตรวจพื้นที่ภายหลังปฏิบัติการอีกครั้งในวันที่ 28 พฤษภาคม 2554 มีเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานภาครัฐ เข้าร่วมปฏิบัติการจํานวนทั้งสิ้น 110 คน

ครั้งที่ 5: วันที่ 23-26 มิถุนายน 2554 ปฏิบัติการผลักดัน จับกุม และเผาทําลายบ้านในพื้นที่บริเวณลําห้วยเหนือแม่น้ำบางกลอย
“บ้านบางกลอยบน” มีเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานภาครัฐเข้าร่วมปฏิบัติการจํานวนทั้งสิ้น 158 คน

ครั้งที่ 6: วันที่ 11-15 กรกฎาคม 2554 ปฏิบัติการพื้นที่บ้านบางกลอยบน โดยการสนธิกําลังของหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง
เพื่อปฏิบัติการเข้าไปตรวจสอบอีกครั้งว่า ชาวกะเหรี่ยงได้มีการอพยพโยกย้ายถิ่นฐาน ออกจากพื้นที่แล้วหรือไม่

เหตุการณ์เผาบ้าน ยุ้งฉางข้าว

ในการปฏิบัติการ “ยุทธการตะนาวศรี” ครั้งที่ 4 ระหว่างวันที่ 5-9 พฤษภาคม 2554 เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน พร้อมเจ้าหน้าที่หน่วยงานอื่นได้มายังบ้านของปู่คออี้ และชาวกะเหรี่ยงคนอื่น ๆ มีคําสั่งโดยไม่เป็นลายลักษณ์อักษรให้ปู่คออี้ออกจากบ้านที่อาศัยอยู่มานับแต่เกิด โดยกล่าวหาว่าเป็น “ชนกลุ่มน้อยที่บุกรุกพื้นที่ตามแนวชายแดนไทย-พม่า อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน” เป็นผู้บุกรุกทําลายป่า ไม่มีสิทธิอาศัยทํากินในป่าแก่งกระจาน

ปู่คออี้ได้ปฏิเสธโดยบอกว่าไปไหนไม่ได้ตามองไม่เห็น แต่เจ้าหน้าที่ก็พยายามจะให้ออกจากบ้าน และนําตัวไปขึ้นเฮลิคอปเตอร์ ในระหว่างนั้นปู่คออี้ได้ขอร้องกับเจ้าหน้าที่ว่าขอเก็บของ และทรัพย์สินในบ้านเพื่อนําติดตัวลงมาด้วย และอย่าทําลายยุ้งฉางของตน
แต่เจ้าหน้าที่ไม่อนุญาตให้นําทรัพย์ใดติดตัวลงมาเลยมีเพียงเสื้อผ้าชุดเดียวที่สวมใส่เท่านั้น และภายหลังได้ทราบว่าบ้าน และทรัพย์สินในบ้านถูกเผาทั้งหมด อีกทั้งยุ้งฉาง และข้าวในยุ้งฉางถูกเจ้าหน้าที่รื้อด้วย

นอกจากการเผาบ้าน และทรัพย์สินของปู่คออี้แล้ว ยังมีข้อมูลปรากฏในภายหลัง ว่าเจ้าหน้าที่ได้สั่งให้ชาวบ้านชาติพันธุ์กะเหรี่ยงดั้งเดิมที่เกิด และอาศัยอยู่ในบริเวณบ้านใจแผ่นดิน ออกไปจากบ้าน และเข้ารื้อ ทําลาย เผาบ้านที่สร้างขึ้นด้วยไม้ไผ่ หลังคามุงด้วยใบตะคร้อ อีกประมาณ 98 หลัง ทรัพย์สินในบ้าน ยุ้งฉาง อุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ ภายในบ้าน และทรัพย์สินอื่น ๆ ได้รับความเสียหาย

เหตุการณ์เผาบ้าน และยุ้งฉางครั้งนั้น เป็นเหตุให้ชาวบ้านชาติพันธุ์กะเหรี่ยง ที่ได้รับความเสียหายจํานวน 6 คน นําโดยปู่คออี้ยื่นฟ้องกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ต่อศาลปกครองกลางเมื่อปี 2555

ต่อมาวันที่ 7 กันยายน 2559 ศาลปกครองกลาง แผนกคดีสิ่งแวดล้อมได้อ่านคําพิพากษา ว่า ผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 6 ก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติ และมีการล่าสัตว์ถือว่า กระทําความผิดตามมาตรา 16 (1) (2) และ (3) แห่งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504

ส่วนการรื้อถอนด้วยวิธีเผาทําลายเพิ่งพัก และยุ้งฉาง ศาลตัดสินว่าเป็นการดําเนินการที่ถูกต้อง เหมาะสมตามหลักความได้สัดส่วน และตามควรแก่กรณี แต่ในส่วนของเครื่องใช้ในครัวเรือน และสิ่งของเครื่องใช้ส่วนตัว เป็นสิ่งของที่จําเป็นจะต้องมีไว้ใช้ในชีวิตประจําวันของทุกคน สิ่งของในลักษณะดังกล่าวนี้ไม่ถือเป็นสิ่งผิดกฎหมายหรือสิ่งต้องห้าม อยู่ในวิสัยที่เจ้าหน้าที่จะทําการเก็บรวบรวมทรัพย์สิน แล้วนํามาเก็บรักษาเพื่อประกาศให้เจ้าของ หรือผู้ครอบครอง มาติดต่อขอรับคืนในภายหลัง หรือจัดเก็บแยกออกจากสิ่งก่อสร้างที่จะเผาทําลายได้

แต่หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน และเจ้าหน้าที่กลับมิได้ดําเนินการดังกล่าว โดยศาลให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กําหนดค่าสินไหมทดแทนสําหรับ ความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่สิ่งของเครื่องใช้ในครัวเรือนทั้งหมดเป็นเงินจํานวน 5,000 บาท และกําหนดค่าสินไหมทดแทนสําหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นกับของใช้ส่วนตัวของผู้ที่อาศัยอยู่ ในเพิงพักแต่ละคนรวมกันอีกเป็นเงินจํานวน 5,000 บาท รวมชดใช้ให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้ง 6 แต่ละคนเป็นเงินคนละจํานวน 10,000 บาท

ผู้ฟ้องคดีทั้ง 6 ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด ปัจจุบันคดีอยู่ระหว่างพิจารณา

ถึงบิลลี่

นายพอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่ เป็นสมาชิกองค์การบริหารส่วนตําบลห้วยแม่เพรียง มีฐานะเป็นหลานของปู่คออี้ ผู้นําทางจิตวิญญาณของชาติพันธุ์กะเหรี่ยงแห่งบางกลอย-ใจแผ่นดิน

บิลลี่เป็นผู้ที่มีบทบาทสําคัญในการปกป้องสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงแห่งบางกลอย-ใจแผ่นดินที่ถูกเผาบ้าน และบังคับให้ต้องจากแผ่นดินเกิด เพราะนโยบายการอนุรักษ์ที่มองไม่เห็นชีวิตของผู้คน บิลลี่ได้ทําหน้าที่เป็นผู้ช่วยทนายความในคดีที่ปู่คออี้ และชาวกะเหรี่ยงบางกลอยอีก 5 คน ยื่นฟ้องกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ต่อศาลปกครองกลาง จากเหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่ อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน เข้ารื้อทําลาย เผาบ้านเรือน และทรัพย์สินของชาวบ้านชาติพันธุ์ กะเหรี่ยง ที่บ้านบางกลอยบนใจแผ่นดินเมื่อเดือน พฤษภาคม 2554

ในช่วงที่บิลลี่หายตัวไปเป็นช่วงที่กําลังมีการเตรียมข้อมูลเพื่อต่อสู้คดีดังกล่าว และอยู่ระหว่างการเตรียมถวายฎีกาเพื่อร้องเรียนขอความเป็นธรรม

วันที่ 17 เมษายน 2557 บิลลี่ขับรถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้าสีเหลืองกลับออกจาก บ้านบางกลอย มุ่งหน้าออกจากอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานราว ๆ ห้าโมงเย็น ก็ขับมาถึงบริเวณ ด่านเขามะเร็ว แล้วบิลลี่ก็ถูกเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ที่ประจําด่านควบคุมตัวไว้ โดยอ้างว่าบิลลี่มีน้ำผึ้งป่า ไว้ในครอบครอง

เจ้าหน้าที่ได้ยึดรถจักรยานยนต์ และน้ำผึ้งป่าเป็นของกลาง หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ได้นําตัวบิลลี่ พร้อมของกลางขึ้นรถกระบะ ขับออกไปถึงบริเวณแยกหนองมะค่า นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานในขณะนั้นได้ทําการตักเตือน และปล่อยตัวบิลลี่ไปพร้อมของกลาง เพราะเห็นว่าเป็นข้อหาไม่ร้ายแรง

นี่เป็นถ้อยคําของเจ้าหน้าที่ ที่ให้ไว้ในศาลจังหวัดเพชรบุรี และศาลอุทธรณ์ภาค 7 ในคดีไต่สวนการควบคุมตัวโดยมิชอบ อย่างไรก็ดีข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นเพียงคํากล่าวอ้างของเจ้าหน้าที่ และยังมีความคลุมเครืออยู่ นอกจากนี้ก็ไม่ปรากฏว่าหลักฐานบันทึกการจับกุม และปล่อยตัวแต่อย่างใด

นับตั้งแต่ 17 เมษายน 2557 จนกระทั่งปัจจุบัน ครอบครัวของบิลลี่ และองค์กรต่าง ๆ ทั้งใน และระหว่างประเทศได้พยายามเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องเพื่อเรียกร้องให้รัฐทําการค้นหาความจริง และนําคนผิดมาลงโทษ

แต่ผ่านไป 4 ปี ความความจริงที่น่าจะต้องถูกคลี่คลายได้กลับเลือนหายไปตามกาลเวลา กระบวนการยุติธรรมที่เป็นความหวังสุดท้ายที่จะช่วยคืนความจริง และความยุติธรรมกลับดําเนินการไม่คืบหน้ามากนัก การสืบสวนสอบสวนหาตัวบิลลี่ และการดําเนินคดี ฐานความผิดอื่นที่เกี่ยวกับการทําให้บิลลี่หายไปนั้นยังคงหยุดอยู่ที่ชั้นสอบสวน

ส่วนการดําเนินการของสํานักงานคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ที่รับไม้ต่อมาจากตํารวจให้ดําเนินการกับนายชัยวัฒน์ในข้อหาเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 นั้น ก็ยังต้องรอผลต่อไป ว่าคณะกรรมการ ป.ป.ท. จะชี้มูลออกมาในแนวทางใด

แหล่งที่มาของข้อมูล

– คําพิพากษาในคดีหมายเลขดําที่ ส. 58/2555 หมายเลขแดงที่ ส. 660 /2559 ระหว่าง นายโคอิ หรือโคดี้ มีมิ ที่ 1 กับพวกรวม 6 คนผู้ฟ้องคดี กับกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ที่ 1 และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ที่ 2 ผู้ถูกฟ้องคดี เรื่องคดีพิพาทเกี่ยวกับ การกระทําละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อํานาจตามกฎหมาย

– บันทึกการสอบข้อเท็จจริง โดยสมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน

– บันทึกถึงปู่โคอี้-กะเหรี่ยงดั้งเดิมแห่งบ้านบางกลอย (แก่งกระจาน) โดยดรุณี ไพศาลพาณิชย์กุล เผยแพร่ในสํานักข่าวชายขอบ : http://transbordernews.in.th/home/?p=14716

Share.
Exit mobile version