ลาวสแควร์

รถไฟความเร็วสูงจีน-ลาว หนุนส่งออกไทยพุ่ง 2.7 หมื่นล้าน

อานิสงส์รถไฟความเร็วสูงจีน-ลาวแรง แรงหนุนผู้ประกอบการไทยอยู่ในห่วงโซ่อุปทานของจีน และลาวสูงขึ้น คาดสินค้าไทยไปจีนผ่านรถไฟเพิ่มขึ้น 2.7 หมื่นล้านบาท แนะผู้ประกอบการใช้ประโยชน์สร้างโอกาสทางธุรกิจ

วันนี้ (31 ม.ค.2567) นายพชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ และ Chief Economist ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ปัจจุบันรถไฟความเร็วสูงจีน-ลาว ได้ขยายระยะทางขนส่งผู้โดยสารข้ามประเทศจากนครหลวงเวียงจันทน์ของลาว ถึงนครคุนหมิงของจีน จากช่วงแรกที่ให้บริการเฉพาะภายในลาวเท่านั้น

นายพชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ และ Chief Economist ธนาคารกรุงไทย
นายพชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ และ Chief Economist ธนาคารกรุงไทย

ส่งผลให้สามารถขนส่งทั้งสินค้า และผู้โดยสารระหว่างจีน ลาว และไทยมากขึ้น จึงเป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทยในการขยายการค้าการลงทุนในจีน และลาว รวมถึงโอกาสในการรองรับนักท่องเที่ยวชาวจีน และชาวลาวที่มีแนวโน้มเดินทางเข้ามาในไทยมากขึ้น

ทั้งนี้ จีนถือเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญของไทย ด้วยสัดส่วนร้อยละ 12 ของมูลค่าการส่งออกสินค้าทั้งหมด โดยปี 2566 มูลค่าการส่งออกสินค้าของไทยไปจีนอยู่ที่ 1.2 ล้านล้านบาท หดตัวเล็กน้อยที่ -1.3 %

อย่างไรก็ดี การส่งออกผ่านแดนไปจีนยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะสินค้าไทยไปจีนด้วยรถไฟความเร็วสูงจีน-ลาว ผ่านด่านหนองคาย คาดว่าปี 2566 จะมีมูลค่าเกือบ 10,000 ล้านบาท หรือขยายตัวถึง 4 เท่าตัว และปี 2573 จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็นราว 27,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าจากปี 2566

นอกจากนี้นักท่องเที่ยวชาวจีน จากมณฑลยูนนาน ซึ่งเป็นสถานีต้นทางของรถไฟความเร็วสูงจีน-ลาว และ 4 พื้นที่ใกล้เคียง สามารถเดินทางถึงกันได้ทางรถไฟ ได้แก่ มณฑลเสฉวน มณฑลกุ้ยโจว มณฑลฉงชิ่ง และเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง

สามารถเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยร้อยละ 1 หรือราว 2.5 ล้านคน จะสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวอย่างน้อยราว 4,685 ล้านบาทต่อปี

ดร. สุปรีย์ ศรีสำราญ นักวิเคราะห์อาวุโส ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS กล่าวว่า แรงหนุนจากรถไฟความเร็วสูงจีน-ลาว และการปรับเปลี่ยนห่วงโซ่อุปทาน จะช่วยสร้างโอกาสแก่ผู้ประกอบการไทยในตลาดจีน และลาว 3 ด้านหลัก คือ ด้านการค้า สินค้าไทยที่มีศักยภาพ เช่น ผัก และผลไม้สดแช่เย็น แช่แข็ง แป้งมันสำปะหลัง ทองแดง และผลิตภัณฑ์ สินค้าปศุสัตว์ ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้

ผู้ประกอบการไทยอาจเลือกสินค้าเหล่านี้เป็นสินค้าเป้าหมายหรือเป็นทางเลือกใหม่ในการขยายตลาด ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพด้านการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย และสามารถเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในจีน และลาวมากขึ้น

สำหรับด้านการบริการอย่างธุรกิจท่องเที่ยว ธุรกิจขนส่ง และ Logistics จะได้รับอานิสงส์จากแนวโน้มการเติบโตของการขนส่งสินค้าข้ามพรมแดน และการเติบโตของนักท่องเที่ยวชาวจีน และชาวลาวที่จะเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในไทยมากขึ้น โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย

ในขณะที่ด้านการลงทุนภาครัฐจะสามารถดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากจีน อย่างอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า และชิ้นส่วน รวมทั้งมีโอกาสดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากลาวมากขึ้น โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

นอกจากนี้ ผู้ประกอบการไทยยังมีโอกาสเข้าไปลงทุนในจีน และลาวในธุรกิจที่ไทยมีศักยภาพ และความเชี่ยวชาญ อีกทั้งยังเป็นโอกาสในการซื้อขายสินค้าจากจีนที่มีต้นทุนต่ำ เพื่อนำมาใช้เป็นวัตถุดิบการผลิตในอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น แผงโซลาร์เซลล์ แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ผัก และผลไม้เมืองหนาว เป็นต้น

ขณะที่ น.ส. สุคนธ์ทิพย์ ชัยสายัณห์ นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS กล่าวว่า ศักยภาพของตลาดจีน และลาวสามารถรองรับความต้องการสินค้า และบริการได้อีกมากในอนาคต ผู้ประกอบการไทยจึงควรศึกษากฎระเบียบ และเงื่อนไขด้านการลงทุนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งวิเคราะห์ทิศทางของเทรนด์สินค้าในตลาดจีน และลาวที่มีแนวโน้มเติบโต

ภาครัฐควรเร่งขับเคลื่อนแผนเชื่อมโยงระบบรางของไทยกับรถไฟความเร็วสูงจีน-ลาว และพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ควบคู่ไปกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ซึ่งจะสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยขยายการค้า และบริการระหว่างกันมากยิ่งขึ้น

ที่มา : ไทยพีบีเอส

Exit mobile version